รางน้ำฝน อีกหนึ่งส่วนสำคัญหลักของบ้านทุกหลัง ที่จะทำให้บ้านของคุณ สามารถรับมือกับน้ำฝนที่ตกลงมาได้ดีมากขึ้น ซึ่งรางน้ำฝน หรือ รางน้ำ ที่ไว้รองรับฝนนี้มีหลายประเภท KACHA จะพาไปดูวิธีเลือกรางน้ำฝนอย่างไรให้เหมาะกับบ้านคุณ และวิธีการดูแลรักษา เพื่อให้พร้อมรับมือในช่วงหน้าฝน หรือช่วงฝนตกหนักได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ตามไปดูกันดีกว่า
ประเภทของ รางน้ำฝน มีอะไรบ้าง?
มารู้จักประเภทของรางน้ำฝนที่นิยมใช้กันว่า แต่ละประเภทมีความเหมาะสมกับที่เราจะเลือกใช้กันอย่างไร โดยแบ่งประเภทของรางน้ำฝนตามวัสดุที่ใช้ผลิต มีอยู่ 5 ประเภท คือ
- รางน้ำสังกะสี เป็นเหล็กแผ่นเคลือบผิวสังกะสี การใช้งานจะตัดและพับขึ้นรูปได้ตามรูปแบบและขนาดที่ ต้องการ เชื่อมต่อด้วยตะกั่ว ติดตั้งง่าย และราคาไม่แพง แต่ จะผุง่าย และเป็นสนิมโดยเฉพาะบริเวณรอยต่อรอยเชื่อม

- รางน้ำอะลูมิเนียม เป็นเหล็กแผ่นเคลือบผิวอลูซิงค์ หรือกัลวาไนซ์แล้วพ่นสีทับ การใช้งานจะตัดพับขึ้นรูป และต่อด้วยแคล้มรัด ซีลยาง ต่อการกัดกร่อนสูง มีน้ำหนักเบา ราคาสูงกว่าสังกะสี
- รางน้ำสเตนเลส ส่วนมากจะเป็นสเตนเลสเกรด 304 พับขึ้นรูปเช่นเดียวกับสังกะสี การใช้งานจะเชื่อมต่อด้วยตะกั่ว หรืออาร์กอน เป็นรางน้ำที่มีความทนทานสูง ไม่เป็นสนิม อายุการใช้งานนาน แต่เป็นสนิมโดยเฉพาะบริเวณรอยต่อรอยเชื่อม และราคาสูงเมื่อเทียบกับรางน้ำประเภทอื่น

- รางน้ำไวนิล ผลิตมาจากโพลีเมอร์สังเคราะห์ เป็นรางน้ำสำเร็จรูป ติดตั้งง่าย รวดเร็วมีความแข็งแรง ไม่เป็นสนิม ไม่ลามไฟ ทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดี การใช้งานจะเชื่อมต่อด้วยกาว หรือซิลิโคน แต่การติดตั้งต้องใช้ช่างผู้เชี่ยวชาญ

- รางน้ำไฟเบอร์กลาส ผลิตมาจากไฟเบอร์กลาส เป็นรางน้ำสำเร็จรูป นิยมติดตั้งกับโรงงานอุตสาหกรรม ไม่ทำปฏิกิริยากับสารเคมี ไม่เกิดการผุกร่อน หรือเป็นสนิม การใช้งานจะเชื่อมต่อด้วยน้ำยาเชื่อมไฟเบอร์ แต่การติดตั้งต้องใช้ช่างผู้เชี่ยวชาญ ใยไฟเบอร์เป็นพิษต่อร่างกาย เมื่อสูดดม คันเมื่อสัมผัส จึงต้องมีการเปลี่ยนทันทีที่สีร่อน ผุ กรอบ แตก
ประโยขน์ของรางน้ำฝน
รางน้ำฝนเป็นรางน้ำที่ติดอยู่รอบชายคา หน้าที่หลัก ๆ ก็คือ รองรับน้ำฝนจากหลังคาให้ไหลไปยังท่อระบายน้ำ หรือจุดที่แต่ละบ้านกำหนด หรือหากเป็นสมัยก่อนก็จะมีการกักเก็บไว้ในตุ่มเพื่อรับประทาน หรือใช้สอยเพื่อประหยัดน้ำประปา รางน้ำฝนจึงมีส่วนช่วยให้น้ำฝนไหลรวมจากรางน้ำและไหลลงสู่ด้านล่างอย่างเป็นระเบียบนั่นเอง การมีรางน้ำฝนยังมีประโยชน์กับบ้านอีกหลายด้าน ดังนี้
- ป้องกันสวน หรือต้นไม้ในบ้านจากน้ำฝน
หากภายในบริเวณบ้านมีการปลูกสนามหญ้า หรือต้นไม้สวยงาม หากไม่มีรางน้ำฝนช่วยป้องกันน้ำที่ไหลจากหลังคา จะทำให้น้ำไหลลงสู่พื้นหญ้าและสวนต้นไม้โดยตร อาจทำให้ต้นไม้เสียหายหรือตายได้ และยังทำให้ดินกลายเป็นหลุมน้ำขังอีกด้วย - ป้องกันผนังและเฟอร์นิเจอร์นอกบ้านเปรอะเปื้อน
หากน้ำฝนไหลลงมาจากหลังคาโดยตรง จะกระแทกโดนพื้นทำให้เศษดินกระเด็นมาโดนผนัง หรือเฟอร์นิเจอร์นอกบ้านเปรอะเปื้อนได้ หากมีรางน้ำฝนก็จะแก้ปัญหาจุดนี้ได้ - ป้องกันปัญหากับเพื่อนบ้าน
น้ำฝนจากหลังคาอาจกระเด็นข้ามไปรบกวนเพื่อนบ้านได้ หากไม่มีรางน้ำฝน ทำให้เกิดปัญหากับเพื่อนบ้านภายหลังนั่นเอง แต่การติดตั้งรางน้ำฝนก็ต้องระวังไม่ให้ล้ำเขตไปยังพื้นที่เพื่อนบ้าน หรือจุดที่ปล่อยน้ำด้านล่างจะไปรบกวนเพื่อนบ้านด้วย

เลือกประเภทรางน้ำฝนให้เหมาะกับบ้าน
หากต้องการเลือกรางน้ำฝน เพื่อนำมาใช้งานที่บ้าน จะต้องทำการพิจารณาหลาย ๆ อย่าง เพื่อให้เหมาะสมกับบ้าน และไลฟ์สไตล์ของเจ้าของบ้าน รวมถึงสมาชิกให้มากที่สุด มีหลักการพิจารณาง่าย ๆ ดังนี้
|
|
|
|
|
วิธีการติดตั้งรางน้ำฝนที่ถูกต้อง
วิธีการติดตั้งรางน้ำฝนแต่ละประเภทจะมีการติดตั้งที่ต่างกันออกไป โดยวิธีการติดตั้งรางน้ำฝนเบื้องต้น มีดังนี้
- สำรวจพื้นที่ที่จะติดตั้งรางน้ำฝน เช็กความแข็งแรงของบริเวณเชิงชาย หรือปีกนกที่จะติดรางน้ำ หากมีการรื้อรางน้ำเก่าออกก่อน ระวังอย่าให้กระทบกับโครงสร้างหลังคา
- วัดระดับน้ำระหว่างหัวท้ายของรางน้ำ เพื่อวัดความลาดเอียงของรางน้ำ จากนั้นทำการตีเต๊าหรือเชือกตีแนว เพื่อสร้างแนวเส้นที่จะติดตั้งรางน้ำ
- ติดตั้งตะขอแขวนราง ตามระยะที่เหมาะสมกับประเภทรางน้ำ ซึ่งแต่ละประเภทมีระยที่เหมาะสมไม่เท่ากัน โดยทั่วไปจะเว้นระยะห่างประมาณ 60-80 เซนติเมตร หากเป็นรางน้ำฝนไวนิลจะต้องใช้ซิลิโคนในการช่วยเชื่อมระหว่างรอยต่อ
- ติดตั้งรางน้ำฝนกับผนังหรือเสาด้วยตัวยึด
- เช็กการทำงานของรางน้ำฝน ด้วยการทดลองฉีดน้ำบนหลังคา หากน้ำไหลเป็นปกติก็เป็นอันเรียบร้อย

วิธีการบำรุงรักษารางน้ำฝน
การรักษารางน้ำฝน หรือ รางน้ำให้ใช้งานได้ดีตลอดเวลา สำหรับวิธีการบำรุงรักษาให้ยังคงสภาพการใช้งานที่ดีอยู่นั้นทำได้ไม่ยาก มีวิธีการ ดังนี้
|
|
ค่าใช้จ่ายเมื่อต้องการติดตั้งรางน้ำฝนแต่ละประเภท
สำหรับรางน้ำฝนแต่ละแบบนั้น มีราคาที่ต่างกันออกไป ซึ่งแต่ละพื้นที่อาจแตกต่างกันออกไปตามราคาค่าติดตั้ง หรือเกรดวัสดุ โดยมีข้อมูลเบื้องต้น ดังนี้
- รางน้ำฝนไวนิล ความยาวมากกว่า 20 เมตร ราคาประมาณ 750 บาทต่อเมตร
- รางน้ำฝนสแตนเลส ขนาด 6 นิ้ว ความยาวมากกว่า 20 เมตร ราคาประมาณ 1,000 บาทต่อเมตร
- รางน้ำฝนอลูมิเนียม ราคาประมาณ 1,000 บาทต่อเมตร
- รางน้ำฝนแบบสังกะสี ราคาประมาณ 300 บาทต่อเมตร
- รางน้ำฝนไฟเบอร์กลาส ราคาประมาณ 800 บาทต่อเมตร
เห็นกันใช่แล้วไหมว่า รางน้ำฝนถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้บ้านของคุณมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย และป้องกันปัญหาต่าง ๆ นานาที่อาจเกิดขึ้นกับเม็ดฝนเม็ดเล็ก ๆ ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายของต้นไม้ สนามหญ้า หรือปัญหากับเพื่อนบ้าน ดังนั้นควรเลือกใหเหมาะสมกับบ้านของเราด้วย 👍🏻